มัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์ ถือเป็นอีกหนึ่งมรดกอันล้ำค่าทางสถาปัตยกรรมและงานกระเบื้องในช่วงสมัยราชวงศ์ซาฟาวิด ซึ่งตั้งอยู่ในจัตุรัส นักเชจาฮอน (Naqsh-e Jahan Square) หรือจตุรัสอิมาม ณ เมืองอิสฟาอาน ซึ่งจตุรัสทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ไม่ว่าคุณจะมองไปที่มุมใดก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอิหร่านอยู่ตรงหน้าคุณเสมอ  และด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจึงทำให้จตุรัสแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก 

          มัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์ อาจไม่มีเอกลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น (ยกเว้นโดม) เมื่อเทียบกับตัวอาคารอื่นที่อยู่ในจัตุรัสนักเชจาฮอน เช่น มัสยิดอิหม่าม แต่เมื่อคุณเข้าไปด้านในของมัสยิด คุณจะตะลึงกับความใหญ่และสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่มีอยู่ในตัวมัสยิด ซึ่งกระเบื้องของมัสยิดชีค-ล็อตฟอลลาห์ที่อยู่ติดกับโดมเป็นส่วนที่น่าดึงดูดที่สุดของอาคารนี้ ประตูเข้ามัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์ ทำมุม 45 องศากับทิศกิบละห์ (ทิศละหมาด) เหมือนกับมัสยิดอิหม่าม โดยการออกแบบนี้เพื่อแก้ปัญหาช่องทางเดินเข้าสู่มัสยิด แต่เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปยังมัสยิดแล้วก็จะเจอกับทิศกิบละห์อยู่ตรงด้านหน้าทันที

          ในขณะที่ภายนอกมัสยิดไม่สามารถมองเห็นถึงการออกแบบชิ้นนี้ได้ และอีกหนึ่งการออกแบบมัสยิดหลังนี้คือไม่มีหอฮะซานและห้องโถง ซึ่งพบเจอได้น้อยมากในสถาปัตยกรรมมัสยิดของอิหร่าน    คุณจะยิ่งประหลาดใจเมื่อเข้าไปในมัสยิดและมองขึ้นไปบนศีรษะของคุณ เพราะคุณจะได้เห็นถึงความงดงามของโดม ซึ่งเป็นโดมที่สวยที่สุดโดมหนึ่งในอิหร่าน ผู้พบเห็นต่างชื่นชมในความโอ่อ่าและการตกแต่งของโดมนี้ ยิ่งเป็นช่วงที่แสงส่องผ่านหน้าต่างเข้าสู่ภายในตัวมัสยิดจะทำให้เกิดสีและแสงขึ้น จนทำให้เสมือนกำลังมองนกยูงรำแพนอยู่ใต้โดม ซึ่งใต้โดมจะมีหน้าต่าง 16 บาน ล้อมตัวโดมเอาไว้ จึงทำให้แสงจากดวงทิตย์ส่องผ่านเข้ามาได้ตลอดวัน  ช่องเมี๊ยะรอบ (Mihrab ช่องครึ่งวงกลมในผนังเป็นที่ละหมาดของอิหม่าม) ของมัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของการออกแบบเมี๊ยะรอบมัสยิดในอิหร่าน กระเบื้องที่สะดุดตาที่ใช้ตบแต่งช่องเมี๊ยะรอบมีลวดลายที่ละเอียดอ่อนและมีความเป็นศิลปะสูง

         สถาปนิกของมัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์ คือ มุอัมหมัดริซอ อิสฟาอานี มัสยิดชีค-ล็อทฟอลลาห์สร้างขึ้นในสมัยซาฟาวิดตามคำสั่งของชาห์อับบาสที่ 1 เพื่อเทิดเกียรติชีค-ล็อทฟอลลาห์ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค และนี้คือมรดกที่ยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทรงคุณค่าของอิสฟาฮานถึงแม้จะผ่านมา 400 ปีแล้วก็ตาม